ฝึกครู ‘ต้นแบบ’ ใช้สื่อสร้างสรรค์ ส่วนต่อขยายโครงงานวิทยาศาสตร์ฯ

“หากพลิกแพลงได้ สื่อที่ธรรมดาๆ ก็มีค่ามากกว่าเดิม” เหมือนจะเป็นทั้งคำถามและข้อสรุป ที่วงอบรมครูภาคกลาง ระหว่างกิจกรรมอบรมครูต้นแบบในโครงการ (เชิง) วิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าเห็นรวมกัน

เพราะกระบวนการใช้สื่อการเรียนการสอนให้ “เป็น” และสร้างมูลค่าให้มากกว่าเรื่องวิชาการนั้น คงไม่ได้มีสูตรที่เคร่งครัดตายตัว กลับกันด้วยซ้ำที่ทักษะเหล่านี้ไร้แบบแผน ทว่ากระบวนการคิดและเลือกต่างหากที่ประหนึ่งกุญแจไขรหัส เพื่อเป็นการฝึกฝนในประเด็นเหล่านี้ โครงการ (เชิง) วิทยาศาสตร์ฯ ที่ศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แตะมือผนึกแรงร่วมกันจึงต่อขยายไปที่ทักษะด้านความเข้าใจถึงการใช้สื่อประกอบการสอนให้กับครู เพิ่มเติมจากการขับเน้นด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาวะชุมชนแบบที่เคยทำมาแล้ว

“มันอยู่ที่การหยิบมาเล่น และอยู่ที่ตัวผู้สอน-ผู้เรียนที่จะหาจุดร่วมกันอย่างไร ทุกโรงเรียนมีการใช้สื่ออยู่แล้ว แต่บางทีเขาหยิบใช้ไม่ได้ ไม่ได้ผ่านการสังเคราะห์ ไม่รู้ว่าจะผลักดันไปสู่การสร้างสุขอย่างไร กิจกรรมน่าจะช่วยไปจุดประกายให้เห็นว่าในสื่อหนึ่งมันบอกอะไรพวกเขาบ้าง เพราะถ้ามันใช้ถูกที่ ถูกเวลา ก็สามารถทำให้เกิดการกระบวนการเรียนรู้ และโยงไปสู่สาระไม่แพ้หนังสือเล่มใหญ่” นายชายกร สินธุสัย นักวิชาการไบโอเทค และผู้จัดการโครงการฯ กล่าว

นอกจากนี้ชายกร ยังแสดงความเห็นอีกว่า แม้โครงการฯ จะมีสาระด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพเป็นตัวหลัก แต่เมื่อระบบการเรียนทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงต่อกัน เช่นเดียวกับการสร้างองค์ความรู้กับตัวผู้เรียนนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากการสอนที่เคร่งเครียด หรือสื่อเดิมๆ ที่น่าเบื่อ ดังนั้นจึงดีแน่หากบุคลากรในโครงการจะเลือกใช้สื่อที่มีอยู่แล้ว ทั้งสื่อที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือสื่อด้านนันทนาการให้เป็นและสอดคล้องกับบริบทการเรียน ก่อนจะโยงไปถึงประเด็นในรายวิชา

นอกจากนี้ เขายังมองว่ามิติด้านเนื้อหาการเรียนกับการมีความสุขจากสุขภาวะที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องที่แยกออกจากกัน ดังนั้นบุคลากรจึงต้องหาจุดเชื่อมต่อกันให้ได้ด้วย

“ผมยกตัวอย่างเช่น สื่อคลิปวีดีโอ พวกเพลงวิทยาศาสตร์ที่บอกถึงความเป็นเหตุและผลซึ่งเป็นธรรมชาติของรายวิชาแล้ว มันยังสามารถอธิบายต่อไปที่เรื่องเหตุและผลในวิชาพระพุทธศาสนา บอกการทำความเข้าใจสังคม สิ่งแวดล้อม หรือการมองถึงสุขภาวะทางปัญญาที่สอดแทรกมิติความสุขใน 4 ด้าน ทั้ง กาย ใจ สังคม ปัญญา เหล่านี้เชื่อมโยงกันหมด ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากผู้สอนเองเลือกใช้เป็นสื่อวิทยาศาสตร์หรือสื่อวิชาอื่นๆ จึงมีความหมายที่มากกว่าการให้ข้อมูล หากแต่เมื่อมีการนำเข้าสู่บทเรียนให้ดีมันจะมีความหมายครอบคลุมทั้งหมด และยังสร้างให้เกิดความสุขได้ เหมือนกับการสร้างความรู้และความสุขไปพร้อมกัน”

ส่วนระหว่างทางของการฝึกทักษะนี้ “วารี ชมชื่น” โรงเรียนขาณุวิทยา จ.กำแพงเพชร แสดงความเห็นถึงการร่วมกิจกรรมว่า นอกจากจะทำให้ครูสอนวิชาฟิสิกส์อย่างเธอต้องเปิดโลกทัศน์ และเริ่มคิดจะเสพข้อมูลกับสื่อต่างๆ ภายนอกมากขึ้นแล้ว ยังคิดพยายามที่จะมองหามุมมองที่แปลกใหม่เพื่อประยุกต์ใช้กับการสอนอีกด้วย โดยการอบรมในครั้งนี้ได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจและกระตุ้นที่จะพลิกแพลงวิธีการสอนแบบเดิมให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยอาจจะใช้สิ่งของที่มีอยู่ หรือหาข้อมูลใหม่ๆ

“เราเชื่อในการประยุกต์ใช้อยู่แล้ว ทำมาตั้งแต่เมื่อครั้งร่วมโครงงานวิทย์ฯ ครั้งนั้นทำแชมพูใบน้อยหน่ากำจัดเหาให้กับเด็ก แต่เด็กใช้ไม่ได้เพราะแสบจึงลองเปลี่ยนวัตถุดิบไปเรื่อยๆ จนเหมาะสม ประสบการณ์ตรงนั้นบอกว่าในเรื่องของวิทยาศาสตร์หรือการเรียนรู้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีอะไรตายตัวหรอก มันพลิกแพลง สร้างสรรค์ไปได้ การใช้สื่อก็เช่นกัน แค่คลิปวีดีโอหรือเพลงก็สามารถนำเข้าสู่บทเรียนได้”

ส่วน “พรรณี วุฒิเดช” โรงเรียนวัดลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี กล่าวถึงการฝึกทักษะใช้สื่อประเภทต่างๆ ทั้งเพลง คลิปวีดีโอ และเกมนันทนาการ เพื่อผนวกเข้ากับการสอนว่า เหมือนเปิดหน้าต่างบานใหม่ เพราะมุมมองของเธอแต่เดิมนั้นมักมองสื่อการเรียนเป็นแค่สื่อวิชาการจำพวก แผนภูมิ ภาพโปสเตอร์ การติดบอร์ด ภาพเรขาคณิต เท่านั้น แต่การอบรมนี้บอกว่าทุกอย่างเป็นสื่อได้หมด ทั้งคลิปโฆษณาสั้นๆ ไม่กี่วินาที เพลงลูกทุ่ง หรือเกมนันทนาการที่เคยมองเป็นเรื่องบันเทิงผิวเผิน

“โจทย์จะกลับไปอยู่ที่เราเองว่าจะมีกระบวนการจะดึงเรื่องราวที่อยู่ในสื่อนั้นไปเข้ากับบทเรียนได้อย่างไร อาจจะเริ่มจากเล่นเกมสนุกๆ นำเข้าสู่บทเรียน หรือจะสอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาเลย ต้องมองให้ลึกขึ้นและหาจุดเชื่อมต่อระหว่างสาระกับความบันเทิง” ครูพรรณี ว่า

โดยหลังจากได้จัดอบรมแก่ครูต้นแบบในส่วนของพื้นที่ภาคกลางแล้ว โครงการจะลงพื้นที่ไปจัดกิจกรรมทั่วประเทศ ภายในเดือนตุลาคมนี้ซึ่งผลจากการทำกิจกรรมจะสามารถพัฒนาศักยภาพครูต้นแบบได้ประมาณ 200 คน ใน 70 โรงเรียนที่มีการคัดเลือก จากภาคีโรงเรียนที่ร่วมกิจกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพฯ ทั้งหมดกว่า 200 โรง

 

         

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

Shares:
QR Code :
QR Code